EP 42 13 October 2024 1 day trip in Bangkok

1 day trip in Bangkok

13 October 2024

 

 

                   ............. มันเป็นความภาคภูมิใจที่ได้เกิดและอาศัยอยู่บนผืนแผ่นดินทองแห่งนี้.........

 

         เป็นเวลาเนิ่นนานมากที่ใช้ชีวิตอยู่กับการทำมาหาเลี้ยงชีพ ...อยู่กับชีวิตประจำปฎิบัติ จากที่ทำงานถึงบ้าน จากบ้านและที่ทำงาน  โดยไม่ได้สังเกตุสภาพแวดล้อมและผู้คนรอบข้าง ว่าได้แปรเปลี่ยนไปมากน้อยขนาดไหน

        วันนี้ วันที่ 13 ต.ค ซึ่งตรงกับวันคล้ายวันสวรรคตของ ร.9 ...ชวนป้าที่บ้านไปกราบพระทำบุญ ..... ไหนๆก็หยุดงานแล้วก็เลยถือโอกาสสำรวจกรุงเทพ ภายใน 1 วัน ดูว่าจะไปที่ไหนได้บ้าง โดยใช้ระบบขนส่งสาธารณะ 

......ทำไมกรุงเทพจึงติดอันดับ 1 ของเมืองที่นักท่องเที่ยวต้องการมาเยือนมากที่สุดในโลก และ ทำไมประเทศไทยจึงเป็นเมืองในระดับต้นๆ ที่ชาวต่างชาติต้องการมาใช้ชีวิตอยู่อาศัย......

 

           ออกจากบ้านเรียกแท็กซี่ เผอิญโชคดีเป็นรถแท็กซี่ไฟฟ้า สภาพใหม่เอี่ยมไม่มีกลิ่นอับ ถือว่าเป็นการเริ่มต้นวันที่ดี...คนขับบอกว่า  ราคารถ เจ็ดแสน จ่ายค่าประกันอีกปีละ หนึ่งแสนกว่าๆ ก็ยังประหยัดกว่ารถสันดาบประมาณครึ่งหนึ่ง

 

 

                  เริ่มต้นสถาณีรถไฟฟ้า MRT พระราม 9.....แทบไม่เชื่อตัวเองเหมือนกัน อยู่อาศัยใจกลางเมืองแท้ๆ แต่ไม่เคยใช้รถไฟฟ้าเลยสักครั้งในรอบ 5 ปีหลังจากย้ายไปอยู่ที่ โชว์ดีซี

             พนักงานขายตั๋วแนะนำให้ใช้บัตร Elder Card สำหรับผู้สูงอายุ จะได้ลดค่าโดยสาร 50 เปอร์เซ็นต์   นี่เป็นครั้งที่ 2 ที่ใช้สวัสดิการรัฐหลังจากรับเบี้ยสูงอายุมาสองปี   ก่อนหน้านั้นก็ไม่เคยใช้สิทธิ์อะไร ไม่ว่าจะเป็น 30 บาทรักษาทุกโรค , โครงการคนละครึ่ง ,หรือโครงการเยียวยาต่างๆที่รัฐทำออกมาช่วยเหลือประชาชน  เพราะคิดว่าตัวเรายังมีความสามารถพอดูแลตนเองได้ แม้นจะเป็นสิทธิที่พึงได้ก็ตาม

 

         จุดแวะแรกก็คือสถาณีวัดมังกร

            สถานีวัดมังกร ( Wat Mangkon Station, รหัส BL29) เป็นสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน ในเส้นทางรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคลโดยเป็นสถานีที่อยู่ใจกลางย่านธุรกิจของชาวไทยเชื้อสายจีน ในแนวถนนเจริญกรุง กรุงเทพมหานคร บริเวณย่านวัดมังกรกมลาวาส (วัดเล่งเน่ยยี่) ใกล้กับถนนเยาวราช

 

 

 

          การออกแบบตัวสถานีทั้งภายนอกบริเวณระดับดินและภายใน มีรูปแบบสถาปัตยกรรมจีน-โปรตุเกส หรือชิโนโปรตุกีส เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมโดยรอบ และยังสื่อสารถึงวัฒนธรรมแบบไทย-จีนของประชาชนชาวเยาวราชเป็นหลัก รวมถึงได้นำลวดลายของมังกรมาประดับใช้ในบริเวณสถานี ตั้งแต่เพดานบริเวณชั้นจำหน่ายบัตรโดยสาร และบริเวณหัวเสาในสถานีที่ใช้สลับกับประแจจีนและลายดอกบัว และบริเวณทางลงเข้าสู่ตัวสถานี โดยได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบจากวัดมังกรกมลาวาส หรือ วัดเล่งเน่ยยี่ โดย เล่ง ในภาษาจีนแต้จิ๋ว คือ มังกร คำว่า เน่ย คือ ดอกบัว และ คำว่า ยี่ คือวัด

 

 

 

 

 

 

 

      

 

 

                 จุดแวะที่ 2 สถาณี สนามชัย น่าจะเป็นสถาณีรถไฟฟ้าใต้ดินที่สวยที่สุดในกรุงเทพ    

           สถานีสนามไชย ( Sanam Chai Station, รหัส BL31) เป็นสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน ในเส้นทางรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล โดยเป็นสถานีเดียวในระบบรถไฟฟ้าใต้ดินที่ตั้งอยู่บริเวณใจกลางพื้นที่อนุรักษ์เกาะรัตนโกสินทร์ ในแนวถนนสนามไชย กรุงเทพมหานคร บริเวณวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม เป็นเส้นทางต่อเนื่องจากสถานีหัวลำโพงผ่านพื้นที่เมืองเก่าก่อนลอดใต้แม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณปากคลองตลาด ไปยังฝั่งธนบุรี และยกระดับขึ้นสู่สถานีท่าพระต่อไป

 

            การออกแบบภายใน ใช้รูปแบบสถาปัตยกรรมสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ออกแบบโดย รศ.ดร. ภิญโญ สุวรรณคีรี ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นท้องพระโรงในสมัยรัตนโกสินทร์ มีการประดับด้วยเสาสดุมภ์ ที่ตั้งตระหง่านอยู่ระหว่างทางเดิน ลงลายกระเบื้องเป็นดอกพิกุล ปลายเสาประดับด้วยบัวจงกลปิดทองคำเปลว พื้นและผนังจำลองมาจากกำแพงเมือง ประดับด้วยเสาเสมาของพระบรมมหาราชวัง เพดานเป็นลายฉลุแบบดาวล้อมเดือน ปิดทองคำเปลว 

 

 

 

 

 

           ในช่วงการก่อสร้างสถานี ผู้รับเหมาก่อสร้างตามสัญญาที่ 2 (โครงสร้างใต้ดินช่วงสนามไชย - ท่าพระ) คือ บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) ได้มีการขุดเจอวัตถุโบราณระหว่างการก่อสร้างกำแพงกันดิน (Retaining Wall) ในชั้นดินเป็นจำนวนมาก อาทิ ตุ๊กตาดินเผา ถ้วย ชาม กระเบื้องดินเผา สมัยพุทธศตวรรษที่ 24–25 ทั้งภาษาไทยและภาษาจีน ปืนโลหะ ความยาว 14.5 ซม. สลักวลีว่า MEMENTO MORI ซึ่งมีความหมายว่า Remember you will die นอกจากนั้นยังพบเหรียญโลหะสมัยรัชกาลที่ 4-5 เช่น เหรียญโลหะวงกลม มีตราจักร มูลค่า 1 สตางค์ เหรียญโลหะวงกลม พิมพ์อักษรสยามรัฐ มูลค่า 1 สตางค์ เหรียญโลหะ มีตรามหามงกุฎ อีกด้านพิมพ์ลายจักรภายในมีช้าง เป็นต้น ยังขุดพบ คลองราก หรือฐานรากโครงสร้างพระราชวังโบราณ ทำให้ทราบวิธีการก่อสร้างพระราชวังโบราณ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยและผู้รับเหมาจึงได้ดำเนินการส่งมอบวัตถุโบราณให้กรมศิลปากร และมิวเซียมสยาม นำไปเก็บรักษาและสืบหาที่มาของวัตถุ พร้อมทั้งปรับแบบของสถานีสนามไชยให้มีพื้นที่จัดแสดงวัตถุโบราณหรือไซต์มิวเซี่ยมก่อนลงไปยังพื้นที่ของสถานี โดยปัจจุบันอยู่ในระหว่างการปรับปรุงและตกแต่งพื้นที่บริเวณทางออกที่ 1 เพื่อจัดแสดงเป็นนิทรรศการถาวรภายใต้ชื่อ ไซต์มิวเซี่ยม โดย รฟม. ได้มอบพื้นที่ให้มิวเซียมสยามเข้ามาตกแต่งและดูแลรักษาพื้นที่แห่งนี้

 

 

 

          ข้างบนสถาณีสนามไชยยังเป็นที่ตั้งของ มิวเซียมสยาม Musiam of Siam

                เป็นพิพิธภัณฑ์ตั้งอยู่บนถนนสนามไชย แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร เปิดให้บริการเมื่อ 2 เมษายน พ.ศ. 2551 มิวเซียมสยามดูแลโดยสถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ

              มิวเซียมสยาม พิพิธภัณฑ์การเรียนรู้นี้ ถือเป็นแหล่งการเรียนรู้หนึ่งที่เน้นจุดมุ่งหมายในการแสดงตัวตนของชนในชาติ ซึ่งจะทำให้ผู้เข้าชม โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้เข้าชมที่อยู่ในวัยเด็กและเยาวชน ได้เรียนรู้รากเหง้าของชาวไทย โดยเน้นไปที่กลุ่มชนในเขตเมืองบางกอก หรือที่เรียกในปัจจุบันว่า กรุงเทพมหานคร เป็นสำคัญ เนื่องจากตัวมิวเซียมสยามแห่งนี้ได้ตั้งอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร แต่มิได้หมายความว่าถ้าเป็นคนไทยต่างจังหวัด จะไม่สามารถมาเรียนรู้จากพิพิธภัณฑ์นี้ได้ ด้วยเพราะสิ่งที่จัดแสดงในตู้ เน้นการนำเสนอความเป็นไทย ในมิติที่ร่วมสมัยมากขึ้น ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ผ่านการนำเสนอด้วยสื่อผสมหลายรูปแบบ ทำให้มีความน่าสนใจ และดึงดูดใจผู้เข้าชมได้เป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังตั้งอยู่ในสถานที่สวยงาม

 

  

        ค่าเข้าชมสำหรับผู็ใหญ่ 100 บาท แต่ผู้สูงอายุฟรี....จริงๆ การได้รับเกิยรติให้เป็นผู้สูงอายุ ก็มีข้อดีเหมือนกันนะ แม้นว่าจะรู้สึกหดหู่ก็ตาม... ค่ารถก็ครึ่งราคา เข้าชมพิพิธภัณฑ์ก็ฟรี.......

 

 

      

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

       เปิดให้เข้าชม วันอังคาร-อาทิตย์ เวลา 10.00-18.00 น. (ปิดทุกวันจันทร์) ค่าเข้าชม ผู้ใหญ่ (ชาวไทยและชาวต่างประเทศ) 100 บาท นักเรียน นักศึกษา (อายุมากกว่า 15 ปี) ราคา 25 บาท ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ไม่เสียค่าเข้าชม สอบถามข้อมูล โทร. 0 2225 2777 เว็บไซต์ www.museumsiam.org

 

 

 

           ออกจากมิวเซียมสยามก็จะเดินเรียบกำแพงของวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร หรือวัดโพธิ์ เพื่อเข้าไปกราบพระนอน พระพุทธไสยาสน์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศ

 

          วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม คำอ่าน: [วัด-พฺระ-เชด-ตุ-พน-วิ-มน-มัง-คะ-ลา-ราม] โดยทั่วไปเรียก วัดโพธิ์ เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรมหาวิหาร และเป็นวัดประจำรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทั้งยังเปรียบเสมือนเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศด้วย เนื่องจากเป็นที่รวมจารึกสรรพวิชาหลายแขนง และทางยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกความทรงจำโลกของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เมื่อ มีนาคม พ.ศ. 2551 และวันที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2554 ทางยูเนสโก ได้ขึ้นทะเบียนจารึกวัดโพธิ์จำนวน 1,440 ชิ้น เป็นมรดกความทรงจำโลกในทะเบียนนานาชาติ และลำดับที่ 3 ของประเทศไทย

        วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามตามประวัติสร้างมาตั้งแต่ครั้งสมัยอยุธยา แต่ไม่ปรากฏหลักฐานเกี่ยวกับการสร้าง แต่สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นหลัง พ.ศ. 2231 ในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช บ้างว่าสร้างมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระเพทราชา

      เดิมเรียกว่า "วัดโพธาราม" หรือ "วัดโพธิ์" สันนิษฐานว่าเพราะเป็นที่ประดิษฐานต้นพระศรีมหาโพธิ์ แต่ต่อมาคติความเชื่อเรื่องการบูชาพระศรีมหาโพธิ์เสื่อมคลายลงไป ไม่ได้รับความนิยมเหมือนครั้งอดีต จึงคงเหลือแต่ชื่อเรียกสืบต่อมา ยกฐานะขึ้นเป็นพระอารามหลวงในสมัยกรุงธนบุรี ซึ่งปรากฏอยู่ใน พระราชพงศาวดารกรุงธนบุรี ว่า พระพิมลธรรม เป็นเจ้าอาวาสของวัดโพธาราม และจึงเริ่มมีพระราชคณะปกครองตั้งแต่นั้นมา

 

      ครั้งถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาวัดนี้ใหม่ในปี พ.ศ. 2331 โดยทรงสร้างพระอุโบสถ พระระเบียง พระวิหาร ตลอดจนบูรณะของเดิม เมื่อแล้วเสร็จใน พ.ศ. 2344 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามว่า "วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาวาส" แปลว่า "ที่อยู่อันงามของพระพุทธเจ้า" เป็นวัดประจำรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช 

 

         นับจากนั้นวัดพระเชตุพนได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว และได้โปรดเกล้าฯ ให้จารึกสรรพตำราต่าง ๆ ลงบนแผ่นหินอ่อนประดิษฐ์ไว้ตามศาลารายต่าง ๆ ครั้งถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้แก้สร้อยนามพระอารามว่า "วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร" นามวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามนี้ ปรากฏในประกาศรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พ.ศ. 2411 ว่า "วัดนี้แม้จะมีนามพระราชทานมาตั้งแต่รัชกาลที่ 1 แต่ชื่อพระราชทานมีผู้เรียกแต่อยู่ในพระราชวัง คนยังเรียกว่าวัดโพธิ์กันทั้งแผ่นดิน" และมีพระราชดำริว่า "ชื่อพระราชทานเป็นชื่อตั้งไม่ปิดไม่แน่นจะคิดแปลงใหม่เห็นจะไม่ชนะ"

 

            

 

         วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหารถือได้ว่าเป็นวัดที่มีพระเจดีย์มากที่สุดในประเทศไทย ซึ่งสามารถแบ่งพระเจดีย์ต่าง ๆ ได้ 4 ประเภท ได้แก่ พระมหาเจดีย์สี่รัชกาล 4 องค์ซึ่งประดิษฐานอยู่ในเขตวัดโพธารามเดิม ส่วนที่ประดิษฐานในเขตพระอุโบสถนั้น ได้แก่ พระเจดีย์ราย 71 องค์ พระเจดีย์หมู่ห้าฐานเดียวรวม 20 องค์ และพระเจดีย์ทรงปรางค์หรือพระมหาสถูป 4 องค์ รวมทั้งสิ้น 99 องค์ 

 

 

          

           เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงปฏิสังขรณ์วัดโพธาราม พระองค์ทรงได้รวบรวมการแพทย์แผนโบราณและศิลปวิทยาการของกรุงศรีอยุธยาเอาไว้ รวมทั้ง ได้ปั้นรูปฤๅษีดัดตนในท่าต่าง ๆ ไว้ด้วย ซึ่งจำนวนของรูปปั้นฤๅษีดัดตนที่สร้างในรัชกาลที่ 1 นั้น ไม่ทราบจำนวนแน่ชัด ต่อมาในรัชกาลที่ 3 ได้หล่อรูปปั้นฤๅษีดัดตนในท่าต่าง ๆ รวม 80 ท่า โดยใช้สังกะสีและดีบุก แทนการใช้ดินที่เสื่อมสภาพได้ง่าย นอกจากนี้ยังมีการแต่งโคลงสี่สุภาพเพื่อบรรยายสรรพคุณท่าต่างของฤๅษีดัดตนทั้ง 80 บทด้วย เนื่องจากมีการเคลื่อนย้ายรูปปั้น รวมทั้งมีการลักลอบเอารูปปั้นไปขายบางส่วน ดังนั้น รูปปั้นที่อยู่ภายในวัดโพธิ์จึงมีเหลือเพียง 24 ท่าเท่านั้น

 

 

 

            วิหารพระพุทธไสยาส สร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ในคราวที่โปรดฯ ให้ขยายพระอารามออกมาทางทิศเหนือ (เข้ามาซ้อนทับเขตวัดโพธารามเดิม ที่ถูกยุบไปก่อนหน้านี้) โดยพระองค์โปรดให้พระองค์เจ้าลดาวัลย์เป็นแม่กองในการก่อสร้าง โดยได้สร้างพระพุทธไสยาสน์ขึ้นก่อน แล้วจึงสร้างพระวิหารภายหลัง โดยมีขนาดเท่ากับพระอุโบสถ บริเวณผนังของวิหารนั้น ด้านบนมีภาพเขียนสีเรื่อง มหาวงศ์ และผนังระหว่างช่องหน้าต่าง เขียนภาพสีเกี่ยวกับพระสาวิกาเอตทัคคะ 13 องค์ อุบาสกเอตทัคคะ 10 ท่านและอุบาสิกาเอตทัคคะ 10 ท่าน อยู่ด้วย

 

           ภายในวิหารประดิษฐานพระพุทธไสยาสน์ ซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่ก่ออิฐ ถือปูน ปิดทองทั่วทั้งองค์ และมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศ โดยมีลักษณะพิเศษ ได้แก่ พระบาทซ้ายและขวาซ้อนเสมอกัน โดยที่พระบาทประดับมุกภาพมงคล 108 ประการ ตรงกลางเป็นรูปจักรตามตำรามหาปุริสลักขณะ โดยลวดลายของมงคล 108 ประการนั้น เป็นการผสมผสานกันระหว่างคติความเชื่อที่รับมาจากชมพูทวีปและจีน

 

 

 

 

 

 

 

 

 

     ออกมาจากประตูวัดก็เจอร้านอาหาร เวลา 13.20 น.เดินเยอะ เมื่อยขามาก หาที่นั่งกินอะไรนิดหน่อยดีกว่า

 

      นักท่องเที่ยวเยอะมาก ส่วนใหญ่แล้วจะไม่มีโต๊ะว่าง ...ได้ร้านไอเย็นสั่งไอติมข้าวเหนียวราดนมสด เป็นสไตล์โบราณ อร่อยดี น้ำผลไม้ก็สดชื่น ร้านเขาก็เท่ห์ดี น่าอิจฉาร้านค้าแถวๆนี้ ค้าขายดีคนแน่นตลอด

 

 

 

    

 

 

       ชื่อท่าเตียน.... มีตำนานเกี่ยวกับยักษ์วัดโพธิ์และยักษ์วัดแจ้งซึ่งทำให้เกิดท่าเตียนในปัจจุบัน นั่นคือ ยักษ์วัดโพธิ์ซึ่งทำหน้าที่ดูแลวัดโพธิ์และยักษ์วัดแจ้งซึ่งทำหน้าที่ดูแลวัดแจ้งนั้น ทั้ง 2 ตนเป็นเพื่อนรักกัน วันหนึ่งยักษ์วัดแจ้งไปขอยืมเงินจากยักษ์วัดโพธิ์ เมื่อถึงกำหนดส่งเงินคืน ยักษ์วัดแจ้งกลับไม่ยอมจ่าย ดังนั้น ยักษ์ทั้ง 2 ตนจึงเกิดทะเลาะกัน แต่เพราะรูปร่างที่ใหญ่โตและพละกำลังที่มหาศาลของยักษ์ทั้ง 2 ตน เมื่อเกิดต่อสู้กันจึงทำให้บริเวณนั้นราบเรียบโล่งเตียนไปหมด เมื่อพระอิศวรทราบเรื่องนี้ จึงได้ลงโทษให้ยักษ์วัดโพธิ์ยืนเฝ้าพระอุโบสถวัดโพธิ์ และยักษ์วัดแจ้งยืนเฝ้าวิหารวัดแจ้งตั้งแต่นั้นมา

         อุโมงมหาราช....เป็นอุโมงที่เอาไว้บริการนักท่องเที่ยว มีห้องน้ำที่สะอาด มีที่นั่งพักผ่อน แอร์เย็นฉ่ำ เดินมาเหนื่อยๆ นั่งพักสักครู่ก็ดีหมือนกัน....ซึ่งจุดนี้พัฒนาไปมาก น่าชื่นชม.....

         จุดประสงค์ใหญ่ของทริปนี้ก็คือตั้งใจมาไหว้พระแก้วมรกต  และเที่ยวชมภายในอุโมงหน้าพระลาน....แต่ไม่ได้ศึกษามาก่อนว่าวันนี้ต้องปิดพระบรมหาราชวัง ซึ่งน่าจะเกี่ยวกับพระราชพิธีน้อมรำลึกในหลวงรัชกาลที่ 9

 

 

 

 

 

 

 

        เนื่องจากผิดคิว วัดพระแก้วปิด จึงตัดสินใจเรียกแท็กซี่ไปเดินเล่นย่านใจกลางเมืองดีกว่า

 

      บ้านเมืองเราเจริญขื้นมากจนแปลกตา ผู้คนมีระเบียบกว่าแต่ก่อนค่อนข้างเยอะ การแซงคิวแทบจะไม่มีให้เห็นอีกแล้ว อาจมีแต่ก็น้อยมาก บ้านเมืองดูสะอาดมีระเบียบ....ในเมืองหลวงเรามีสกายวอล์คให้เดินเล่นยาวเป็นกิโล ....เรามีระบบรางที่มีเคลือข่ายโยงใยไปทั่วกรุงเทพๆและปริมนฑล และยังไม่หยุดพัฒนา ....เรามีศูนย์การค้าที่ใหญ่และทันสมัยติดอันดับต้นๆของโลกอยู่มากมาย...เรามีระบบสาธารณะสุขที่ดีที่สุดอันดับ 4 ของโลกเป็นรองก็แค่ อเมริกา สิงคโปร และจีน...ประเทศเราได้เปรียบในด้านภูมิรัฐศาสตร์ พืชพันธัญญาหารปลุกได้ตลอดทั้งปีจนสามารถเป็นครัวของโลก ใครๆก็ชอบอาหารไทย เพราะมีรสชาติที่หลากหลาย มีตั้งแต่อาหารราคาถูกข้างถนนจนถึงภัตรคารหรู และมีให้กินได้ตลอด 24 ชม....เรามีทรัพยากรสำหรับการท่องเที่ยว ที่พร้อมทุกๆด้านไม่ว่าจะเป็นวัดวาอาราม โบราณสถานที่สวยงามอยู่ทั่วประเทศ  ธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ตั้งแต่ป่าเขาไปจนถึงทะเลและหาดทรายที่ติดอันดับต้นๆของโลก  ....เรามีประเพณีและวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์ โดดเด่นไม่เหมือนใคร   และที่สำคัญไม่มีใครสามารถเลียนแบบได้ ก็คือความเป็นมิตรและน่ารักของคนไทย ในสไตล์สยามเมืองยิ้ม....

       เราอาจจะหงุดหงิดกันบ้างกับทรัพยากรมนุษย์ของเราที่พัฒนาสู้คนอื่นเขาไม่ได้....เราอาจจะหงุดหงิดกันบ้างกับคนรุ่นใหม่ที่มีความแข็งกระด้างไม่อ่อนน้อมถ่อมตนเหมือนแต่ก่อน....เราอาจจะเหลื่อมล้ำกันบ้างในด้านสิทธิมนุษยชน และความไม่ยุติธรรมของการบังคับใช้กฏหมาย มีนักการเมืองที่คดโกงเล่นพรรคเล่นพวกไม่รักษาคำพูดและตระบัดสัตย์ มีการทุจริตมากมายเกือบทุกภาคส่วน และหงุดหงิดกับหลายๆอย่างที่ถ่วงความเจริญของสังคมเราไว้.....แต่ขอให้เชื่อเถอะว่าเดี๋ยวมันก็ดีขื้นเอง ธรรมชาติจะจัดสมดุลย์ได้อย่างยุติธรรม....ไม่ว่าเมืองไหนๆ ในโลกนี้ก็มีปัญหาแบบนี้คล้ายๆ กัน มากบ้าง น้อยบ้าง...มีจุดดีจุดด้อยที่ไม่เหมือนกัน

     แค่มองจุดเด่นดีๆ ที่เรามีอยู่แล้วอย่างมากมายมหาศาลจนคนอื่นๆเขาอิจฉา และรักษามันไว้ ภาคภูมิใจกับมัน เลือกใช้ชีวิตอยู่กับสิ่งที่เราเป็นอย่างชาญฉลาดและมีความสุข ต่อให้โลกนี้จะเลวร้ายเพียงใด....ที่แน่ๆ พวกเราไม่อดตายแน่นอน

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

     ศาลพระพรม ยังคงหนาแน่นจากนักท่องเที่ยวเหมือนเดิม แม้ว่าฝนจะตกหนัก

 

 

 

 

 

 

        อัมรินทร์พลาซ่าเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก จากที่เคยมาเปิดร้านอยู่ที่นี่เมื่อสิบปีก่อน ด้านหน้าที่เคยเป็น Mcdonal สาขาแรกของประเทศไทย กลับกลายเป็น Louis Vuitton ตัวอาคารทั้งด้านนอกและในตัวอาคารก็ทำสีและดีไซด์ใหม่ จนไม่เหลือเค้าเดิม 

 

 

 

 

 

          ค่อนวันแล้วฝนก็ตกหนัก....ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว คืนนี้ไปฟังพี่ชัย บลูส์ ที่ Saxophone ต่อดีกว่า

 

 

 

 

 

 

 

         

 ขอขอบคุณข้อมูงบางส่วนจาก วิกิพีเดีย

 

 

Visitors: 146,042