EP.2 ตามโมไรไปนั่งเล่น กับ Van Den Hul MC-10 Special

Nottingham Analogue

Spacedeck Turntable

Van Den Hul MC 10 Phono Cartridge

ของคุณ โอ๊ต

04 Feb 2023

 

 

 

 

 

 

 

 

                          " เสียงเพลงของโมไร ".........   ใครหนอ ช่างคิดคำ  ชวนฝันเสียเหลือเกิน......

      เสียงเพลงของโมไร เป็นร้านขายเทปและแผ่นเสียง กึ่งๆ โชว์รูม... ที่ว่ากึ่งๆโชว์รูม ก็เพราะว่า ทั้งเทปคาสเซ็ทและแผ่นเสียงที่วางโชว์อยู่ในร้านแทบทั้งหมด ถูกผลิตขื้นโดย บ.โอ๊ตคุณ แอนด์ โมไร จก. ซึ่งมีคุณ โอ๊ต...คมกฤษ คุณวัฒนา เป็นผู้บริหาร

      จากพนักงานออฟฟิศ ตัดสินใจเดินออกมาจาก comfort zone เพื่อได้มีโอกาสสานฝันกับสิ่งที่ตัวเองรักและมีความสุข...เริ่มก่อตั้งเมื่อปี 2017 ผลิตเทปและแผ่นเสียง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นศิลปินนอกกระแส....ทำมาสเตอร์เองทั้งหมด แต่ส่งผลิตที่ เยอรมันนีและอเมริกา

     บริษัทเติบโตค่อนข้างเร็ว เนื่อจากเจาะกลุ่มลูกค้าที่ค่อนข้างตรงประเด็นและชัดเจน ประกอบกับความสามารถและ บุคลิกของคุณโอ๊ต ที่เป็นคน friendly มากๆ จึงมีแรงผลักดันจากลูกค้าและคนรอบข้าง ที่พร้อมให้การสนับสนุนอยู่โดยตลอด

     คุณโอ๊ตเริ่มเป็นลูกค้าผมก่อนจะเปิดบริษัทเสียด้วยซ้ำ ทุกๆครั้งที่คุณโอ๊ตจะเปลี่ยนเครื่องเล่นแผ่นเสียงหรือเปลี่ยนหัวเข็ม ก็จะเรียกใช้บริการ ...ครั้งนี้เป็นหัวที่ 4   Van Den Hul / MC-10  0.65 mV ติดตั้งบนเครื่องเล่น Nottingham Space deck

 

          Van Den Hul

          ......ตลอดระยะเวลา 40 ปีที่ผ่านมา A.J. Van Den Hul นอกจากจะผลิตหัวเข็มแผ่นเสียงในแบรนด์ของตัวเองแล้ว ยังรับซ่อมและอัพเกรดหัวเข็มเกือบทุกยี่ห้อทั่วโลก ฉะนั้นการได้เห็นข้อดีข้อเสียของหัวที่หลากหลายจึงเป็นข้อมูลที่มีประโยชน์ในการปรับปรุงพัฒนาผลิตภันท์ของตัวเองให้มีประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อเทียบกับราคาที่ต้องจ่ายออกไป จึงออกมาเป็นบรรทัดฐานหรือแนวทางการออกแบบหัวเข็มของ Van Den Hul ในมาตรฐาน 3 ประการคือ

      1. Very low tracking Force

      2. Very high channel separation

      3. To have enough output

 

            1.Very low tracking force  ปริมาณแรงกดของปลายเข็มที่กระทำกับร่องของแผ่นเสียงขณะกำลังหมุนมีหน่วยวัดเป็น g (กรัม) จุดประสงค์เพื่อให้การแทรคกิ้งสัญญาณในร่องของแผ่นเสียงได้มีประสิทธิภาพสูงสุด .......ปัจจัยสำคัญที่จะกำหนดค่า tracking force ก็คือ

              1.1 มวลหรือน้ำหนักของหัวเข็ม ( Mass )

              1.2 ความยืดหยุ่นหรือสปริงของก้านเข็ม ( compliance )

             1.3 รูปทรงหรือลักษณะกายภาพของปลายเข็ม ( sturus shape ) ถ้าเปรียบหัวเข็ม 1 หัว กับ รถยนต์ 1 คัน มวลของหัวเข็มก็คือน้ำหนักของตัวรถ....สปริงของก้านเข็ม คือ ระบบช่วงล่าง....ปลายเข็มก็คือลักษณะทางกายภาพของยางรถยนต์.....Tracking force จึงเปรียบเสมือนแรงดันของลมยาง ที่ต้องพอดีและเหมาะสมกับช่วงล่างและน้ำหนักของตัวรถ เพื่อสมรรถนะในการเกาะถนน ฟิลลิ่งในการขับขี่ รวมทั้งมีผลต่ออัตราการสิ้นเปลืองพลังงานด้วย ข้อดีของ very low tracking force ก็คือ .....ลดความเครียดในการเสียดสีกันระหว่างปลายเข็มกับร่องของแผ่นเสียง ซึ่งมีผลต่อเนื่องก็คือ บุคลิกเสียงที่ผ่อนคลายเป็นอิสระ และช่วยยืดอายุของปลายเข็ม และร่องของแผ่นให้มีอัตราสึกหรอน้อยลง ยืดอายุการใช้งานที่ยืนยาวขื้น

             2. Very high channel separation ....การแยกช่องสัญญาณซ้ายขวา ในระบบเสียงสเตอริโอ เราไม่ควรได้ยินสัญญาณของชันแนลขวาในลำโพงตัวซ้าย และการแยกคลื่นความถี่ของประเถทชิ้นดนตรีที่เหลื่อมล้ำกัน ให้มีระดับชั้นอย่างชัดเจน ไม่เกิดการข้ามช่องสัญญาณ เสียงไวโอลีน กับ วิโอล่า ถึงจะมีความถี่บางช่วงที่ทับซ้อนกันอยู่ แต่ขนาดและฮาโมนิคก็ควรที่จะต้องแตกต่างกัน channel separation มีหน่วยวัดเป็น dB ตัวเลขยิ่งสูงยิ่งดี

             3. To have enough output......มีหน่วยวัดเป็น mV ต้องมีสัญญาณเอาท์พุทใน first stage ที่เพียงพอสำหรับนำไปขยายต่อในภาคปรีโฟโน คำว่าเอาท์พุทที่เพียงพอนั้นต้องอยู่ในเงื่อนไขของความเพี้ยนที่ต่ำด้วย.......เอาท์พุทสูงแต่ความเพี้ยนต่ำเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะสวนทางกัน .....นอกจากจะเป็นหัวเข็มราคาแพงๆที่ใช้วัสดุและกระบวนการผลิตที่พิถีพิถันมากขื้น .... โดยหลักการแล้วการที่จะได้ความเพี้ยนที่ต่ำ วิธีหนึ่งก็คือการลดปริมาณวัสดุที่ใช้ให้น้อยลง เช่นจำนวนขดลวดที่น้อยลง ขนาดของแม่เหล็กที่เล็กลง .....แต่เมื่อทุกอย่างลดลง ค่าเอาท์พุทก็จะลดลงตามไปด้วย.....เพราะฉะนั้นการที่ใส่ขดลวดน้อยๆ แม่เหล็กเล็กๆ แล้วให้ได้ค่าเอาท์พุทที่สูงแต่ราคายังสมเหตุผล จึงเป็นเรื่องของขบวนการคิด การออกแบบ การเลือกสรรค์วัสดุ ที่ต้องใช้องค์ความรู้และประสบการ์ณเป็นองค์ประกอบสำคัญ..

 

 

 

 

 

 

 

         

          เป็นชุดที่จัดไว้เพื่อให้ลูกค้าและเพื่อนฝูง ได้ฟังทดสอบแผ่นเสียง การจัดวางตามความสะดวกและความเหมาะสมของสถานที่ ไม่ได้เน้นมิติและเวทีเสียง แต่เมื่อได้ความสมดุลย์ของเสียง ทั้ง ทุ้ม กลาง แหลม ที่มีปริมานที่พอดี ก็จะทำให้ฟังได้ไม่มีปัญหาอะไร....และนับว่าคุณโอ๊ตใจถึงพอสมควร ที่ติดหัวเข็มในระดับราคาขนาดนี้ไว้ให้ลูกค้าลองเล่น....ซึ่งโอกาสพลาดมีค่อนข้างสูง

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

      นอกจากจะจ่ายตังค์ซื้อหัวเข็มแล้ว ก่อนกลับยังมอบแผ่นเสียงให้มาอีก 2 ชุด จะซื้อเองก็ไม่ยอม ...ขอบคุณมากๆครับ

 

 

 

          ยังรู้สึกแปลกใจนิดๆว่าทำไมปีนี้อากาศเย็นสบายเป็นเดือน หลายๆปีก่อนหน้านี้อากาศหนาวอย่างมากก็แค่หกเจ็ดวัน  .....เล่นเฟสบุ๊คอยู่ พอดีเห็นข้อความโฆษณาจำหน่ายบัตรคอนเสิร์ตลองคลิ๊กเข้าไปดู เป็น mini concert outdoor โดยมีคุณโอ๊ตแห่ง โมไร เป็นผู้จัด ก็ไม่ต้องคิดอะไรมาก กดจ่ายตังค์เลย 2 ใบ ...อากาศก็ดี ชวนคุณป้าที่บ้านไปนั่งฟังเพลง จิบเบียร์เย็นๆกันดีกว่า

 

 

          Modova ป็น Community mall ที่มีร้านค้าไม่ถึง 10 ยูนิต ...แต่มีลานกว้างมากไว้สำหรับจัดเป็นตลาดนัดระดับ Premium Lifestyle เป็นสถานที่ชิลเอาท์แห่งใหม่ในซอยลาซาล...ผู้บริหารก็เล่นเทิร์นเทเบิลด้วยเหมือนกัน

 

 

 

 

 

            มาถึงหน้างานก่อนกำหนดครึ่ง ชม.เวลากำลังดี  ลงทะเบียนเข้างานพร้อมทักทายผู้จัดพอเป็นพิธี เลือกที่นั่งประมาณแถวที่ 3 ตรงกลาง ไม่ใกล้ไม่ไกล ระยะพอดี สำหรับสัมผัสทุกชี้นดนตรีและผ่อนคลายไปในตัว....ได้ที่นั่งแล้วมีภาระต้องไปเข้าคิวซื้อเบียร์ เนื่องจากมีผู้ให้บริการอยู่ร้านเดียวแต่ลูกค้าเยอะมาก กว่าจะได้ก็เกินครึ่งชั่วโมง ...คงไม่มีความพยายามมาต่อคิวครั้งที่สองอีกเป็นแน่..... ซื้อไปเผื่อคนละ 2 แก้วเลยก็แล้วกัน

 

         สถานที่จัดงานอยู่ตรงข้ามกับโรงพยาบาลศรีนครินท์พอดี   จึงมีคุณหมอและพยาบาลมาเดินเป็นจำนวนมาก

 

 

           เนื่องด้วยเป็นงานที่จัดในเดือนกุมภาพันธ์ ...เดือนแห่งความรัก ตรีมงานจึงอบอวลไปด้วยกุหลาบสีชมพู...ใกล้ค่ำแล้วแสงพอมี รีบถ่ายดอกกุหลาบเก็บไว้ใช้เป็นวัตถุดิบในวัน วาเลนไทน์น่าจะดี

 

 

          เป็นสถานที่เหมาะสำหรับชิลเอาท์จริงๆ ลานกว้างขวาง ไม่มีตึกสูง ลมพัดเย็นๆ สบายมาก อุณหภูมิแค่ 22 องศาเอง ...ยังนึกเสียดายบ้านเมืองเรา สถานที่เที่ยวเยอะมาก แต่อากาศร้อน ฝุ่นละอองก็เยอะ ทางเท้าก็เดินลำบาก ทำให้ไม่เหมาะกับการเดินเล่นเพราะจะเหนื่อยง่าย ไม่สนุก

 

 

 

 

 

 

          สารภาพตามตรงเลยว่าแทบจะไม่รู้จักเลยด้วยซ้ำ วงนั่งเล่น ไม่ได้เป็นแฟนเพลงด้วย ....แค่เห็นคุณโอ๊ตเป็นผู้จัดและที่สำคัญชอบบรรยากาศในการฟังเพลงแบบนี้...ซึ่งมักจะผ่อนคลายมากๆ

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

          

            อากาศเย็นและลมเบา ๆ อยู่กับคนรู้ใจ จิบเบียร์พร้อมเสียงเพลงแห่งความรัก....รู้สึกรีแลกซ์มากจริงๆ ...เป็นอีกค่ำคืนหนึ่งที่มีความสุข 

       2 ทุ่ม มีแจกอาหารกล่อง พร้อมศิลปินรับเชิญ ...ธีร์ ไชยเดช... มาขั้นเวลา เพื่อให้วงนั่งเล่นได้พักอริยบท...นั่งฟังอยู่ 2 เพลง คุยกับป้าว่าใช้เวลา2ชั่วโมง กับการดื่มด่ำบรรยากาศน่าจะพอแล้ว เริ่มเอียนความรัก....ไปหาบรรยากาศที่มันสนุกเร้าใจมากกว่านี้กันดีกว่า

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

          Saxophon pub ....ถ้าเปรียบกับอาหารสิ้นคิดสำหรับผม ก็คือ...ผัดกระเพรา...คือตอนหิวเมื่อไร นึกไม่ออกว่าจะกินอะไรดี ก็จะไปลงเอยที่ ผัดกระเพราไข่ดาว ถึงจะเบื่อไปบ้าง แต่ก็กินได้ตลอด....Saxophon pub ก็เช่นกัน ...

      ตัวผมน่าจะเป็นแขกประจำรุ่นแรกๆ ที่ยังคงแวะเวียนมาฟังเพลงที่นี่ตลอดระยะเวลา 30ปีที่ผ่านมา...ปัจจุบันมองหาคนที่คุ้นหน้าคุ้นตาไม่เคยเจอเลย น่าจะเลิกเที่ยวกันไปหมด เห็นมีแต่เด็กรุ่นใหม่และครึ่งหนึ่งเป็นชาวต่างชาติ 

      มาถึงเกือบๆ 4 ทุ่ม แทบจะไม่มีที่ยืน คนแน่นมาก....วันนี้ไม่มีใครกลัวเจ้า โควิด 19 กันอีกแล้ว อยากเป็นก็เป็นไป รักษาตัวเดี๋ยวก็หาย อันตรายก็ไม่มากเหมือน 2 ปีก่อน เพราะส่วนใหญ่ก็ผ่านการติดเชื้อกันอย่างน้อย 1 ครั้ง มีภูมิคุ้มกันเพียงพอ

      น้องๆที่ร้านคุ้นเคยกันดี หาที่นั่งให้ลุงกับป้าจนได้ ....ต่อด้วยไวน์แดงอีก 1 ขวด ...หมดไปอีกวัน กับการใช้ชีวิต บอกกับป้าเสมอว่าจนถึงวัยขนาดนี้แล้วไม่ต้องไปคิดมาก ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนก็พอ.... 

 

 

           Saxophone pub ก่อตั้งเมื่อปี 1987 เป็นผับที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมาก เคยได้รับรางวัลจากนิตยสารต่างประเทศหลายๆฉบับ ให้เป็น best pub in Thailand และ best pub in Asia ถือได้ว่าเป็นผับที่นักฟังเพลงรู้จักกันไปทั่วโลก เป็นเอกลักษณ์เชิดหน้าชูตาในเรื่องการท่องเที่ยวของประเทศอย่างหนึ่งเลยก็ว่าได้

       แนวเพลงหลักๆเลยก็คือ Jazz กับ Blues แต่ก็จะมีแนวเพลงอื่นผสมมาด้วย ทั้ง Reggae ,Pop,Funky,Latin คือมีครบเกือบทุกแนว...ราคาเครื่องดื่มและอาหารก็อยู่ในระดับที่สมเหตุ สมผล...ที่สำคัญบรรยากาศในการฟังเพลงมีความเป็นเอ็นเตอร์เทนมากๆ

 

 

 

 

 

       บทความดีๆ จากพี่ สาธิตย์

            ในปี 1999 David Dunning และ Justin Kruger ได้ทำการทดลองที่โ่ด่งดังมาก รู้จักกันในชื่อ Dunning-Kruger Effect…ระบุถึงสถานการณ์ที่ คนที่รู้น้อยที่สุด ดันรู้สึกว่าตัวเองรู้มากพอ และ ตัดสินใจได้โดยที่ไม่ได้ตระหนักเลยว่า นั่นอาจเป็นการตัดสินใจที่แย่ (Unknown Competence) .

            สิ่งที่เกิดตามมาก็คือ

           1) คนเหล่านี้ไม่รู้ตัวว่า สิ่งที่กำลังทำอยู่อาจจะเป็นสิ่งที่ผิด

          2). พวกเขามักจะเป็นคนที่มั่นใจที่สุดเสมอ (จนบางทีคนอื่นขี้เกียจเตือน) .

                 สถานการณ์นี้ ถูกเรียกว่า “Mount Stupid” หรือ “ภูเขาแห่งความโง่เขลา” นั่นเอง . และความเศร้าของเรื่องนี้คือ มันมักจะเกิดขึ้นแบบไม่ค่อยรู้เนื้อรู้ตัว…ใครบอกอะไรก็ไม่ค่อยอยากฟัง เพราะคิดว่า “รู้แล้วๆ” แนวคิดนี้รู้จักกันในชื่อ Dunning-Kruger Effect (ลองดูภาพประกอบ)

   แกนตั้งเป็นระดับความมั่นใจ (confidence) จากน้อย (low) ไปหามาก (high)

   ส่วนแกนนอนเป็นระดับความรู้ เริ่มต้นจากซ้ายมือสุดคือ ไม่รู้อะไรเลย (know-nothing) ขยับไปเป็น รู้และเข้าใจ(wisdom) จนถึงขวาสุดคือ เป็นผู้รู้จริง และมีความเชี่ยวชาญขั้นเทพ (guru)

   กราฟเส้นสีน้ำเงินเริ่มต้นที่มุมล่างด้านซ้ายมือคือคนที่ไม่รู้อะไรเลย ความมั่นใจก็จะต่ำมาก ๆ อย่าว่าแต่จะให้พูด หรือแสดงความคิดเห็นเลย แค่ถามยังไม่กล้า เพราะไม่รู้จะถามอะไร แต่พอมีความรู้เพิ่มขึ้นนิด ๆ หน่อย ๆคนจำนวนไม่น้อยก็เข้าใจว่า…โอ้…อันที่จริง ไม่เห็นยากอย่างที่คิด จึงเกิดความมั่นใจ และเริ่มแสดงภูมิ ความมั่นใจที่จะอวดรู้นี้ มักพุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ โดยที่บางคนไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังอวดฉลาดอยู่ จนไปถึงจุดสูงสุดที่เรียกว่ายอดเขาแห่งความโง่ (peak ofmountain stupid) ณ จุดนี้คือจุดที่ผู้คนรอบด้านเริ่มเอือมระอากับพฤติกรรม โง่อวดฉลาด

            คำถามที่น่าสนใจคือต้องใช้เวลานานเท่าไรจึงจะรู้ตัว และจะรู้ได้อย่างไรว่าตนเองกำลังเดินทางไปสู่ยอดเขาแห่งความโง่อยู่

           คำตอบคือไม่รู้ เพราะแต่ละคนใช้เวลาเร็วช้าต่างกันในการตระหนักว่ากำลังอวดฉลาดอยู่ แต่พอสังเกตได้บ้างจากคำกระแนะกระแหนของผู้คนรอบด้าน หรือถ้าเจอคนรู้จริงที่มีเจตนาดีมาช่วยสอนช่วยบอกให้โดยไม่หักหน้า ก็ถือว่าโชคดีไป เมื่อเวลาผ่านไป ความรู้ ประสบการณ์และวัยวุฒิที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้ตระหนักว่าอันที่จริงสิ่งที่ตัวเอง รู้นั้นน้อยมาก เทียบได้เพียงหางอึ่ง จึงทำให้ความมั่นใจที่จะพูด หรือแสดงภูมิลดลงโดยปริยาย และค่อย ๆ ลดลงไปเรื่อย ๆ จนถึงจุดต่ำสุดที่เรียกว่า หุบเหวแห่งความสิ้นหวัง (valley of despair)

            ในระหว่างที่ความมั่นใจกำลังลดลง ใจก็เปิดมากขึ้น จึงรับฟัง และเรียนรู้เพิ่มเติม เมื่อเวลาผ่านไปสักช่วงหนึ่ง ความรู้ที่เพิ่มขึ้นก็ค่อย ๆ พลิกฟื้นความมั่นใจให้กลับคืนมาทีละเล็กละน้อยคราวนี้การแสดงความคิดเห็น ก็จะตรึกตรอง และใคร่ครวญอย่างรอบคอบก่อน เรียกว่าเก๋าขึ้น ชั่วโมงบินสูงขึ้น จึงสุขุมมากขึ้น พัฒนาการแบบนี้จะดำเนินไปเรื่อย ๆ จนกลายเป็นผู้รู้จริง (guru) ความมั่นใจกลับมาเต็มเปี่ยมอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ต่างจากคราวก่อนคือ เป็นความมั่นใจที่นอบน้อมถ่อมตน ไม่ได้กร่างเหมือนเมื่อก่อน ขอบคุณข้อมูล https://www.prachachat.net และ https://www.facebook.com/TheDigit.../posts/2624850031162530/

      

 

 

 

 

 

 

 

 

Visitors: 146,042